7 วิตามินเด็ก เสริมภูมิคุ้มกัน ป้องกันลูกป่วยบ่อยแม่ต้องรู้!
Promom ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับเด็ก

7 วิตามินเด็ก เสริมภูมิคุ้มกัน ป้องกันลูกป่วยบ่อย ที่แม่ต้องรู้!

เรื่องราวดีๆจาก Promom สำหรับคุณแม่และลูกน้อย

7 วิตามินเด็ก เสริมภูมิคุ้มกัน ป้องกันลูกป่วยบ่อย ที่แม่ต้องรู้!

ลูกป่วยบ่อย เป็นหวัด ไอ จามไม่หยุด? อากาศเปลี่ยนทีไร ก็ต้องพาไปหาหมอทุกครั้ง! พ่อแม่หลายคนกังวลว่าลูกจะป่วยง่าย ระบบภูมิคุ้มกันยังไม่แข็งแรง การเสริมวิตามินและสารอาหารที่ถูกต้องช่วยลดโอกาสเจ็บป่วยได้จริง วันนี้ Promom ขอแนะนำ 7 วิตามินเด็กและสารอาหารสำคัญ ที่ช่วยให้ลูกแข็งแรง ไม่ป่วยง่าย


1. โพรไบโอติกส์ (Probiotics) 5 สายพันธุ์ เสริมภูมิคุ้มกันจากลำไส้

โพรไบโอติกส์เป็นจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ ซึ่งเมื่อบริโภคในปริมาณที่เหมาะสม จะช่วยปรับสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ ส่งเสริมการทำงานของระบบย่อยอาหาร และเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน

โพรไบโอติกส์ 5 สายพันธุ์ที่มีประโยชน์:

  1. Bacillus coagulans – ช่วยเสริมสุขภาพลำไส้ ลดการอักเสบ และกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน
  2. Bifidobacterium infantis – สนับสนุนสุขภาพทางเดินอาหารของทารก ช่วยป้องกันอาการท้องเสียและเสริมภูมิคุ้มกัน
  3. Bifidobacterium lactis – ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติของร่างกาย และช่วยปรับสมดุลระบบขับถ่าย
  4. Lactobacillus plantarum – มีคุณสมบัติในการลดการอักเสบ เสริมสุขภาพทางเดินอาหาร และช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานดีขึ้น
  5. Lactobacillus acidophilus – ช่วยเพิ่มจำนวนแบคทีเรียที่ดีในลำไส้ ลดอาการท้องอืด และเสริมสร้างระบบย่อยอาหาร

โพรไบโอติกส์เหล่านี้พบได้ในอาหารหมักดอง เช่น โยเกิร์ต นมเปรี้ยว และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร การบริโภคโพรไบโอติกส์เป็นประจำจะช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ และปรับปรุงสุขภาพลำไส้

สำหรับผู้ที่ต้องการเสริมโพรไบโอติกส์ผ่านอาหาร ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีการระบุสายพันธุ์ของจุลินทรีย์ที่ชัดเจน และยังมีชีวิตอยู่ เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุด การเสริมโพรไบโอติกส์ในชีวิตประจำวันเป็นวิธีที่ดีในการดูแลสุขภาพลำไส้และเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของลูกน้อย


2. HMOs (Human Milk Oligosaccharides) ปกป้องภูมิคุ้มกันระดับเซลล์

HMOs หรือโอลิโกแซ็กคาไรด์ในนมแม่ เป็นคาร์โบไฮเดรตสายสั้นที่พบในน้ำนมแม่มากกว่า 200 ชนิด มีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของทารก โดยทำหน้าที่เป็นพรีไบโอติกส์ที่ช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในลำไส้ เช่น บิฟิโดแบคทีเรียม และ แลคโตบาซิลลัส ซึ่งมีส่วนช่วยให้ระบบทางเดินอาหารของทารกแข็งแรงและสามารถย่อยนมแม่ได้ดีขึ้น

ประโยชน์หลักของ HMOs:

  1. เสริมสร้างภูมิคุ้มกันของทารก – HMOs ช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาว เช่น มาโครฟาจ และ ทีเซลล์ ซึ่งเป็นเซลล์สำคัญในระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้สามารถป้องกันเชื้อโรคต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  2. ลดโอกาสเกิดการติดเชื้อ – HMOs ทำงานโดยการหลอกล่อเชื้อโรคให้จับกับโครงสร้างของ HMOs แทนที่จะจับกับเยื่อบุผิวลำไส้ ซึ่งช่วยป้องกันการติดเชื้อจากไวรัส แบคทีเรีย และปรสิตที่เป็นอันตราย
  3. ลดความเสี่ยงของโรคภูมิแพ้ – การได้รับ HMOs อย่างเพียงพอสามารถช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคภูมิแพ้ในเด็ก เนื่องจากช่วยควบคุมการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันและลดการอักเสบที่อาจก่อให้เกิดอาการแพ้
  4. เสริมสุขภาพลำไส้และการย่อยอาหาร – HMOs เป็นแหล่งอาหารหลักของจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในลำไส้ ทำให้ระบบทางเดินอาหารของเด็กแข็งแรง และช่วยป้องกันอาการท้องเสียหรือปัญหาทางเดินอาหารอื่นๆ

มีงานวิจัยหลายชิ้นที่สนับสนุนประโยชน์ของ HMOs โดยเฉพาะในการลดความเสี่ยงของการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจและทางเดินอาหารในทารกที่ไม่ได้ดื่มนมแม่ การศึกษาหนึ่งพบว่าเด็กที่ได้รับ HMOs ผ่านนมผง หรืออาหารเสริมสำหรับเด็ก ที่มีการเติม HMOs สามารถลดโอกาสป่วยจากโรคติดเชื้อได้ถึง 50% เมื่อเทียบกับเด็กที่ไม่ได้รับ HMOs

3. เอลเดอร์เบอร์รี่ (Elderberry) ต้านไวรัส ลดอาการหวัด

เอลเดอร์เบอร์รี่ (Elderberry) เป็นผลไม้ขนาดเล็กสีม่วงเข้มที่มีประวัติการใช้ในทางการแพทย์พื้นบ้านมายาวนาน โดยเฉพาะในการบรรเทาอาการหวัดและไข้หวัดใหญ่ ผลไม้ชนิดนี้อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด เช่น แอนโทไซยานิน (Anthocyanins) และฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย

ประโยชน์ของเอลเดอร์เบอร์รี่

  1. เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน สารแอนโทไซยานินในเอลเดอร์เบอร์รี่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบภูมิคุ้มกัน โดยกระตุ้นการผลิตไซโตไคน์ (Cytokines) ซึ่งเป็นโมเลกุลที่ช่วยในการสื่อสารระหว่างเซลล์ภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายสามารถตอบสนองต่อการติดเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  2. ต้านไวรัส มีงานวิจัยที่ชี้ว่าเอลเดอร์เบอร์รี่มีคุณสมบัติในการยับยั้งการเจริญเติบโตของไวรัส โดยเฉพาะไวรัสไข้หวัดใหญ่ สารสกัดจากเอลเดอร์เบอร์รี่สามารถยับยั้งการเกาะติดของไวรัสกับเซลล์ในร่างกาย ทำให้ไวรัสไม่สามารถแพร่กระจายได้
  3. ลดระยะเวลาและความรุนแรงของอาการหวัด การบริโภคเอลเดอร์เบอร์รี่ในช่วงเริ่มต้นของการเป็นหวัดหรือไข้หวัดใหญ่อาจช่วยลดระยะเวลาและความรุนแรงของอาการได้ เนื่องจากสารสำคัญในเอลเดอร์เบอร์รี่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ และเสริมสร้างการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน

เอลเดอร์เบอร์รี่ กับการศึกษาทางการแพทย์

  • การศึกษาที่เผยแพร่ใน Journal of Alternative and Complementary Medicine ปี 1995 พบว่าผู้ที่ได้รับสารสกัดจากเอลเดอร์เบอร์รี่ฟื้นตัวจากอาการหวัดได้เร็วกว่ากลุ่มที่ได้รับยาหลอก โดยอาการดีขึ้นเร็วขึ้นเฉลี่ย 4 วัน
  • มีหลักฐานว่าเอลเดอร์เบอร์รี่สามารถช่วยกระตุ้นการผลิตไซโตไคน์ ซึ่งเป็นโปรตีนสำคัญที่มีบทบาทในการกระตุ้นและควบคุมระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
  • งานวิจัยบางชิ้นยังชี้ให้เห็นว่า เอลเดอร์เบอร์รี่สามารถส่งเสริมการทำงานของเซลล์เยื่อบุทางเดินอาหารและเซลล์ภูมิคุ้มกันในลำไส้ ซึ่งอาจช่วยป้องกันการติดเชื้อและส่งเสริมสุขภาพโดยรวม

4. เบต้ากลูแคน (Beta-Glucan) กระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาว

เบต้ากลูแคนเป็นเส้นใยอาหารชนิดหนึ่งที่พบในผนังเซลล์ของยีสต์ เห็ดหลินจือ และธัญพืชบางชนิด เช่น ข้าวโอ๊ตและข้าวบาร์เลย์ มีคุณสมบัติในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายและช่วยลดการอักเสบ

คุณสมบัติและประโยชน์ของเบต้ากลูแคน

  1. กระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาว เบต้ากลูแคนช่วยกระตุ้นเซลล์เม็ดเลือดขาวให้ทำงานดีขึ้น โดยเฉพาะเซลล์มาโครฟาจ (Macrophage) ซึ่งทำหน้าที่กำจัดเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมในร่างกาย ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น
  2. ลดการอักเสบ เบต้ากลูแคนช่วยควบคุมระบบภูมิคุ้มกันให้สมดุล ลดการอักเสบในร่างกาย และช่วยลดความเสี่ยงของโรคติดเชื้อ
  3. เสริมภูมิคุ้มกันให้เด็ก มีงานวิจัยพบว่าเด็กที่ได้รับเบต้ากลูแคนเป็นประจำมีโอกาสป่วยจากโรคติดเชื้อทางเดินหายใจลดลง เพราะสารนี้ช่วยกระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาวและเพิ่มระดับแอนติบอดีชนิด IgA ซึ่งช่วยปกป้องร่างกายจากเชื้อโรคที่เข้าสู่ทางเดินหายใจ
  4. ช่วยลดอาการภูมิแพ้และหอบหืด เบต้ากลูแคนมีผลช่วยลดการอักเสบที่เกี่ยวข้องกับโรคภูมิแพ้และหอบหืด โดยกระตุ้นการผลิต Interleukin-10 ซึ่งเป็นสารที่ช่วยปรับสมดุลภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายตอบสนองต่อสารก่อภูมิแพ้ได้น้อยลง

ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์เสริมอาหารวิตามินสำหรับเด็กหลายยี่ห้อที่มีเบต้ากลูแคนเป็นส่วนผสมหลักเพื่อเสริมภูมิคุ้มกัน ควรเลือกผลิตภัณฑ์จากแบรนด์ที่น่าเชื่อถือ ผ่านการวิจัย และได้รับรางวัลรับรอง เพื่อให้มั่นใจว่าเด็กได้รับสารอาหารที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ

5. วิตามิน C เสริมภูมิคุ้มกัน ป้องกันการติดเชื้อ

วิตามินซี (Vitamin C) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญ มีบทบาทในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยเฉพาะในเด็กที่ยังมีระบบภูมิคุ้มกันที่กำลังพัฒนา วิตามินซียังช่วยป้องกันการติดเชื้อ และเสริมการทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกันให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ประโยชน์ของวิตามิน C สำหรับเด็ก

  • กระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาว  วิตามินซีช่วยให้เม็ดเลือดขาวในเด็กทำงานได้ดีขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพในการกำจัดเชื้อโรคและไวรัสที่อาจก่อให้เกิดโรค
  • ลดโอกาสป่วยบ่อย  เด็กที่ได้รับวิตามินซีอย่างเพียงพอมีแนวโน้มป่วยน้อยลง โดยเฉพาะโรคหวัดและการติดเชื้อทางเดินหายใจ
  • ช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น  วิตามินซีมีบทบาทสำคัญในการผลิตคอลลาเจน ทำให้แผลหายเร็วขึ้น และช่วยให้เนื้อเยื่อแข็งแรง
  • เสริมสุขภาพเหงือกและฟัน  ช่วยให้เหงือกและฟันแข็งแรง ลดปัญหาเลือดออกตามไรฟัน
  • ต้านอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรังในเด็ก  ปกป้องเซลล์จากความเสียหาย ช่วยให้เด็กเติบโตแข็งแรง

แหล่งอาหารที่มีวิตามิน C สูง

  • ผลไม้รสเปรี้ยว  เช่น ส้ม ฝรั่ง กีวี มะขามป้อม และสตรอว์เบอร์รี
  • ผักใบเขียวและพริกหวาน  เช่น บรอกโคลี ผักคะน้า และพริกหวาน
  • อาหารเสริม  หากได้รับวิตามินซีไม่เพียงพอจากอาหาร อาจเลือกเสริมในรูปแบบอาหารเสริมเด็กได้ 

ปริมาณวิตามิน C ที่แนะนำต่อวันสำหรับเด็ก

  • เด็กอายุ 1-3 ปี  15-25 มิลลิกรัม/วัน
  • เด็กอายุ 4-8 ปี  25-40 มิลลิกรัม/วัน
  • เด็กอายุ 9-18 ปี  60-100 มิลลิกรัม/วัน

6. วิตามิน D3 กระตุ้นภูมิคุ้มกันจากภายใน

วิตามิน D3 (Cholecalciferol) เป็นสารอาหารสำคัญที่มีบทบาทหลากหลายในการส่งเสริมสุขภาพของเด็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยให้ร่างกายต่อสู้กับเชื้อโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ประโยชน์ของวิตามิน D3 สำหรับเด็ก

  • เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน วิตามิน D3 ช่วยกระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาว เพิ่มความสามารถในการป้องกันและกำจัดเชื้อโรค ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ
  • ส่งเสริมการดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัส วิตามิน D3 ช่วยให้ร่างกายดูดซึมแร่ธาตุเหล่านี้ได้ดีขึ้น ซึ่งจำเป็นต่อการเจริญเติบโตและความแข็งแรงของกระดูกและฟัน
  • ป้องกันโรคกระดูกอ่อน การได้รับวิตามิน D3 เพียงพอช่วยลดความเสี่ยงของโรคกระดูกอ่อนในเด็ก ซึ่งอาจทำให้กระดูกอ่อนแอและผิดรูป

แหล่งที่มาของวิตามิน D3

  • แสงแดด ร่างกายสามารถสังเคราะห์วิตามิน D3 ได้เมื่อผิวหนังได้รับรังสี UVB จากแสงแดด แนะนำให้เด็กๆ ได้รับแสงแดดอ่อนๆ ในช่วงเช้าหรือเย็นประมาณ 15 นาทีต่อวัน โดยสวมเสื้อผ้าที่เผยผิวบางส่วน
  • การเสริมวิตามิน หากเด็กได้รับวิตามิน D3 ไม่เพียงพอจากอาหารและแสงแดด อาจเสริมด้วยผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับเด็กได้ แต่ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีมาตรฐาน

7. วิตามิน A สร้างเกราะป้องกันเชื้อโรค

วิตามินเอ (Vitamin A) เป็นสารอาหารที่จำเป็นสำหรับเด็ก มีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน บำรุงสายตา และส่งเสริมการเจริญเติบโต ช่วยรักษาสุขภาพของผิวหนังและเยื่อบุต่างๆ ป้องกันการติดเชื้อ และช่วยให้ร่างกายต่อสู้กับเชื้อโรคได้ดีขึ้น

ประโยชน์ของวิตามินเอสำหรับเด็ก

  • เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน  ช่วยลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจและป้องกันการติดเชื้อต่างๆ
  • บำรุงสายตา  มีบทบาทสำคัญต่อการมองเห็น โดยเฉพาะในที่แสงน้อย
  • ส่งเสริมการเจริญเติบโต  ช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง สนับสนุนพัฒนาการของร่างกาย
  • รักษาสุขภาพของผิวหนังและเยื่อบุต่างๆ  ช่วยให้ผิวและเนื้อเยื่อชุ่มชื้นและแข็งแรง

ปริมาณวิตามินเอที่แนะนำต่อวันสำหรับเด็ก:

  • ทารกอายุ 6-11 เดือน  250 ไมโครกรัม/วัน
  • เด็กอายุ 1-3 ปี  300 ไมโครกรัม/วัน
  • เด็กอายุ 4-5 ปี  350 ไมโครกรัม/วัน

แหล่งอาหารที่มีวิตามินเอสูง:

  • ตับสัตว์  เช่น ตับหมู ตับไก่ ซึ่งเป็นแหล่งวิตามินเอที่เข้มข้น
  • ไข่แดง  อุดมไปด้วยวิตามินเอ ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
  • นมและผลิตภัณฑ์จากนม  เช่น นมสด ชีส ที่มีวิตามินเอตามธรรมชาติ
  • ผักใบเขียวเข้ม  เช่น ผักคะน้า ผักโขม และบรอกโคลี
  • ผักและผลไม้สีส้มเหลือง  เช่น แครอท ฟักทอง มะม่วงสุก ที่อุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีนซึ่งร่างกายเปลี่ยนเป็นวิตามินเอได้
  • อาหารเสริมสำหรับเด็ก  ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีวิตามินเอ เช่น วิตามินรูปแบบผง หรือเยลลี่ที่เหมาะสำหรับเด็ก แต่ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีมาตรฐานรับรองและเหมาะสมกับช่วงวัย

สัญญาณที่บ่งบอกว่าเด็กอาจมีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ

วิตามินและแร่ธาตุเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของเด็ก หากเด็กมีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ อาจทำให้ป่วยบ่อย ติดเชื้อง่าย หรือฟื้นตัวช้ากว่าปกติ สังเกตอาการเหล่านี้เพื่อดูว่าเด็กอาจต้องการเสริมวิตามินหรือไม่

อาการที่พบวิตามินที่อาจขาดอาหารที่ควรเสริมอาหารที่ควรเลี่ยง
ป่วยบ่อย เป็นหวัดง่าย หายป่วยช้ากว่าปกติวิตามิน C, D3 หรือสังกะสีส้ม, ฝรั่ง, กีวี, ปลาแซลมอน, ไข่, เมล็ดฟักทองขนมหวาน, น้ำตาลสูง, อาหารทอด
แผลหายช้า มีรอยช้ำง่ายวิตามิน C และ Kพริกหวาน, บรอกโคลี, ผักใบเขียวน้ำอัดลม, อาหารแปรรูป
ระบบทางเดินหายใจอ่อนแอ มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อวิตามิน D และโพรไบโอติกส์ปลาไขมันสูง, โยเกิร์ต, นมเสริมวิตามิน Dอาหารหวานจัด, นมมากเกินไป
เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ไม่มีความอยากอาหาร และเจริญเติบโตช้าวิตามิน B-complex และสังกะสีธัญพืชเต็มเมล็ด, เนื้อสัตว์, ไข่ขนมขบเคี้ยว, อาหารจานด่วน
มีอาการเหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย ไม่มีแรง และมีภาวะโลหิตจางธาตุเหล็ก และ วิตามิน B12เนื้อแดง, ตับ, ผักใบเขียวเข้มชา, กาแฟ, น้ำอัดลมที่ขัดขวางการดูดซึมธาตุเหล็ก
ผิวแห้ง ลอกง่าย และเล็บเปราะหักง่ายวิตามิน A และ Eแครอท, ฟักทอง, มะม่วงสุก, ไข่แดง, นมอาหารทอด, อาหารแปรรูป, ไขมันทรานส์

* ข้อมูลในตารางนี้เป็นเพียงแนวทางเบื้องต้นเท่านั้น ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหรือแพทย์ก่อนเสริมวิตามินหรือปรับเปลี่ยนอาหารของเด็ก

Q&A คำถามยอดฮิตเกี่ยวกับวิตามินเด็กและการเสริมภูมิคุ้มกัน

ถาม : เด็กควรเริ่มกินวิตามินเสริมตั้งแต่อายุเท่าไหร่?

ตอบ :  เด็กสามารถเริ่มรับประทานวิตามินเสริมได้ตั้งแต่อายุ 1 ขวบขึ้นไป โดยเฉพาะวิตามินที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองจากงานวิจัยว่ามีประสิทธิภาพในการเสริมภูมิคุ้มกันเด็กอย่างแท้จริง

ถาม : จำเป็นต้องให้ลูกกินวิตามินทุกวันหรือไม่?

ตอบ :  จำเป็น และควรให้ลูกกินอย่างต่อเนื่องเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงอย่างได้ผล เนื่องจากการเสริมภูมิคุ้มกันต้องใช้เวลา ควรให้เด็กได้รับวิตามินอย่างสม่ำเสมอเพื่อช่วยลดโอกาสป่วยง่าย โดยเฉพาะในเด็กที่ป่วยง่าย หรือได้รับสารอาหารไม่เพียงพอจากอาหารหลัก

ถาม : ลูกไปโรงเรียนแล้วป่วยบ่อยขึ้น ควรทำอย่างไร?

ตอบ :  เมื่อลูกเริ่มไปโรงเรียน มีโอกาสสัมผัสเชื้อโรคมากขึ้น ควรเสริม อาหารเสริมเด็กที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน เช่น อาหารเสริมที่มี Immuno-Biotics โพรไบโอติกส์ 5 สายพันธุ์ที่เหมาะสำหรับเด็ก ซึ่งช่วยส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกันโดยเฉพาะ เพื่อช่วยป้องกันการติดเชื้อและลดความรุนแรงของโรค

ถาม : เด็กที่ไม่ได้กินนมแม่ จะมีภูมิคุ้มกันอ่อนแอกว่าปกติหรือไม่?

ตอบ :  เด็กที่ไม่ได้กินนมแม่อาจได้รับภูมิคุ้มกันจากแม่ได้น้อยลง ส่งผลให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อง่ายขึ้น อย่างไรก็ตาม สามารถเสริมด้วย อาหารเสริมเด็กที่มี HMOs ซึ่งเป็นสารสำคัญที่พบในนมแม่ มีบทบาทในการเสริมภูมิคุ้มกันโดยตรง ช่วยลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ และสนับสนุนการทำงานของระบบทางเดินอาหารให้แข็งแรงยิ่งขึ้น


Multi-IMMU 24 และ Multi-IMMU 24+ เสริมภูมิคุ้มกันลึกถึงระดับเซลล์

Promom ความทุ่มเทของคุณหมอหัวใจแม่

สุขภาพของลูกเป็นเรื่องสำคัญ และการสร้างภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงตั้งแต่เล็กคือกุญแจสำคัญ Multi-IMMU 24 และ Multi-IMMU 24+ ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อช่วยให้เด็กๆ มีภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น ลดโอกาสป่วยซ้ำซาก เริ่มกินได้ตั้งแต่อายุ 1 ปีขึ้นไป เพราะภูมิคุ้มกันที่ดีไม่ได้สร้างในวันเดียว แต่ต้องได้รับการบำรุงอย่างต่อเนื่อง

✔ Immuno-Biotics โพรไบโอติกส์ 5 สายพันธุ์ ที่ช่วยส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกันโดยเฉพาะ ปรับสมดุลลำไส้ เสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน
✔ มี HMOs นวัตกรรมล่าสุดที่พบในนมแม่ ตัวช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน
✔ Elderberry และ Beta-Glucan  ช่วยกระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาว ลดอาการอักเสบ และป้องกันการติดเชื้อไวรัส
✔ เสริมด้วยวิตามินสำคัญ  วิตามิน C, D3 ที่จำเป็นต่อการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
✔ ผ่านการรับรองจากงานวิจัย  ทดสอบแล้วว่าเห็นผลจริง
✔ ไม่มีน้ำตาลและสารเติมแต่งที่เป็นอันตราย ปลอดภัยสำหรับเด็ก

ให้ Multi-IMMU 24 และ Multi-IMMU 24+ เป็นตัวช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้ลูกน้อย ตั้งแต่วันนี้! แนะนำให้รับประทานต่อเนื่อง เพื่อให้ภูมิคุ้มกันทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

เรื่องราวดีๆจาก Promom

เจ้าของบทความ

Promom Content Team

หรือติดตามได้ที่เพจ Promom Thailand

ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจาก Promom

ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเด็ก คิดค้นวิตามินเสริมภูมิคุ้มกันเด็กและพัฒนาจากองค์ความรู้ ของทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางและนักโภชนาการเด็ก

Promom ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับเด็ก

Nutri Plus 41&42 เพิ่มน้ำนมแม่

สำหรับคุณแม่หลังคลอด จัดส่งฟรี

Promom ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับเด็ก

Multi-IMMU 24+ (เด็กโต) ลดภูมิแพ้

สำหรับเด็กอายุ 3 ปีขึ้นไป จัดส่งฟรี

Promom ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับเด็ก

Multi-IMMU 24 (เด็กเล็ก) ลดภูมิแพ้

สำหรับเด็กอายุ 1 ปีขึ้นไป จัดส่งฟรี

Promom ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับเด็ก

DHA Probio 9+ (เด็กโต) พัฒนาสมอง

สำหรับเด็กอายุ 3 ปีขึ้นไป จัดส่งฟรี

Promom ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับเด็ก

DHA Probio 9 (เด็กเล็ก) พัฒนาสมอง

สำหรับเด็กอายุ 1 ปีขึ้นไป จัดส่งฟรี

Promom ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับเด็ก

Cal-D-KII 6+ เพิ่มความสูง

สำหรับเด็กอายุ 3 ปีขึ้นไป จัดส่งฟรี

บทความอื่นๆที่น่าสนใจ

ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเด็ก คิดค้นวิตามินเสริมภูมิคุ้มกันเด็กและพัฒนาจากองค์ความรู้ ของทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางและนักโภชนาการเด็ก

แหล่งข้อมูล

... สั่งซื้อได้ตลอด 24 ชม.
ติดต่อโปรมัม
...
...
...

โทรศัพท์: 02 114 8788

อีเมลล์: [email protected]

...
...
Professional Mom (Thailand) Co., Ltd. เลขที่ 117 ซอยศูนย์การค้าสาย 4 ถนนสุขุมวิท ตำบลท่าประดู่ อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง 21000.