
5 เหตุผลที่เด็กช่วงปิดเทอม ขาดแคลเซียม โดยที่พ่อแม่ไม่รู้ตัว! | แคลเซียม เสริม สำหรับ เด็ก
เรื่องราวดีๆจาก Promom สำหรับคุณแม่และลูกน้อย

ช่วงปิดเทอมเป็นเวลาที่เด็กๆ รอคอยเพื่อพักผ่อนและทำกิจกรรมสนุกๆ แต่รู้หรือไม่ว่าช่วงเวลานี้เองอาจทำให้ลูกของคุณเสี่ยงต่อการขาดแคลเซียมโดยไม่รู้ตัว? แคลเซียม เสริม สำหรับ เด็ก จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม วันนี้เราจะพาไปดู 5 เหตุผลหลักที่ทำให้เด็กๆ ขาดแคลเซียมในช่วงปิดเทอม พร้อมแนะนำวิธีป้องกันง่ายๆ ที่พ่อแม่สามารถทำได้ทันทีค่ะ
1. กิจวัตรประจำวันเปลี่ยนไป ทำให้การรับแคลเซียมลดลง
ช่วงปิดเทอมหรือวันหยุดยาว เด็กๆ มักมีพฤติกรรมการกินที่เปลี่ยนไป เนื่องจากไม่มีตารางเรียนที่เคร่งครัดเหมือนช่วงเปิดเทอม ส่งผลให้การบริโภคแคลเซียมลดลงโดยไม่รู้ตัว พฤติกรรมเหล่านี้อาจส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของกระดูกและฟันโดยตรง
สาเหตุหลักที่ทำให้การได้รับแคลเซียมลดลง:
- ข้ามมื้ออาหารที่สำคัญ – มื้อเช้าเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายสามารถดูดซึมแคลเซียมได้ดี แต่เมื่อเด็กตื่นสายหรือรับประทานอาหารไม่ตรงเวลา อาจทำให้พลาดโอกาสได้รับแคลเซียมจากแหล่งอาหารหลัก เช่น นม ไข่ หรือโยเกิร์ต
- เลือกทานอาหารว่างแทนมื้อหลัก – เด็กบางคนมีแนวโน้มเลือกขนมขบเคี้ยว เช่น มันฝรั่งทอด ขนมกรุบกรอบ หรือขนมหวาน ที่มีปริมาณแคลเซียมน้อยหรือไม่มีเลย แทนที่จะเลือกอาหารที่มีแคลเซียมสูง
- ดื่มน้ำอัดลมแทนนม – น้ำอัดลมมีกรดฟอสฟอริก (Phosphoric Acid) ซึ่งอาจรบกวนการดูดซึมแคลเซียมและส่งผลต่อความแข็งแรงของกระดูก อีกทั้งยังเพิ่มความเสี่ยงของโรคกระดูกพรุนในอนาคตหากบริโภคในปริมาณมาก
2. ใช้เวลาในร่มมากขึ้น ขาดวิตามิน D ที่ช่วยดูดซึมแคลเซียม
ช่วงปิดเทอม เด็กๆ มักใช้เวลาอยู่ในบ้านมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการดูโทรศัพท์ เล่นแท็บเล็ต ดูการ์ตูน หรือเล่นเกม ทำให้พฤติกรรมการออกไปวิ่งเล่นกลางแจ้งลดลงโดยไม่รู้ตัว สิ่งนี้ส่งผลให้เด็กมีโอกาสได้รับ วิตามิน D จากแสงแดดน้อยลง ซึ่งอาจกระทบต่อการดูดซึม แคลเซียม ที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของกระดูก
วิธีป้องกันการขาดวิตามิน D ในช่วงปิดเทอม
- กระตุ้นให้ลูกออกไปเล่นกลางแจ้งเป็นประจำ เด็กควรได้รับแสงแดดอย่างน้อย 15-30 นาทีต่อวัน โดยเฉพาะช่วงเช้า (07:00-09:00 น.) หรือช่วงเย็น (15:00-17:00 น.) ที่แดดไม่แรงจนเกินไป อาจพาไปวิ่งเล่น ขี่จักรยาน หรือทำกิจกรรมสนุกๆ นอกบ้าน
- เสริมอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามิน D เช่น ปลาแซลมอน, ปลาทู, ไข่แดง, ตับ, และเห็ดบางชนิด ที่ช่วยให้ร่างกายได้รับวิตามิน D เพิ่มขึ้นจากอาหารลดเวลาดูจอ และเพิ่มเวลากิจกรรมกลางแจ้ง – ลองตั้งกติกาภายในบ้าน เช่น หลังจากดูหน้าจอครบ 1 ชั่วโมง ต้องออกไปทำกิจกรรมข้างนอก หรือชวนกันเล่นเกมที่ต้องเคลื่อนไหว เช่น เตะบอล กระโดดเชือก
- หรือวิ่งเล่นในสวน
- พิจารณาอาหารเสริมวิตามิน D หากจำเป็น หากลูกไม่ค่อยได้รับแสงแดด หรือมีอาการที่อาจบ่งบอกถึงการขาดวิตามิน D เช่น ปวดกระดูก อ่อนเพลีย หรือเป็นหวัดบ่อย ควรปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาการเสริมวิตามิน D
ช่วงปิดเทอม พ่อแม่ต้องช่วยให้ลูกไม่ติดจอมากเกินไป และส่งเสริมให้ได้รับวิตามิน D อย่างเพียงพอ เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง พร้อมเติบโตอย่างเต็มที่
5 กิจกรรมกลางแจ้งง่ายๆ เล่นได้ทั้งครอบครัว สนุกได้ช่วงปิดเทอม
ช่วงปิดเทอมเป็นโอกาสดีที่ครอบครัวจะได้ใช้เวลาร่วมกัน และการเล่นกลางแจ้งไม่เพียงแต่ช่วยให้เด็กๆ ได้ปลดปล่อยพลังงาน แต่ยังเสริมสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวอีกด้วย นี่คือ 5 กิจกรรมกลางแจ้งง่ายๆ ที่เล่นได้ทั้งครอบครัว
1. ขี่จักรยานรอบสวน
หาเวลาพาลูกขี่จักรยานรอบสวนสาธารณะหรือในหมู่บ้าน นอกจากจะได้ออกกำลังกายแล้ว ยังช่วยฝึกการทรงตัวและการใช้กล้ามเนื้อขา เหมาะสำหรับทุกวัย เล่นได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่
2. วิ่งเล่นจับโจรหรือซ่อนแอบ
เกมสุดคลาสสิกที่เล่นง่าย ไม่ต้องใช้อุปกรณ์ และช่วยให้เด็กๆ ได้เคลื่อนไหวอย่างอิสระ เกมจับโจรหรือซ่อนแอบยังช่วยฝึกไหวพริบและความว่องไวไปในตัว
3. กระโดดเชือกแข่งกัน
กระโดดเชือกเป็นกิจกรรมที่ช่วยกระตุ้นการเติบโตของกระดูก และเป็นเกมที่เด็กๆ สนุกได้ ผู้ใหญ่ก็เล่นได้ ลองตั้งกติกาแข่งกันดูว่าใครกระโดดได้นานที่สุด รับรองว่าทั้งสนุกและได้ออกกำลังกายไปพร้อมกัน
4. ตีแบดมินตันหรือเตะฟุตบอล
กีฬาเบาๆ อย่างแบดมินตันหรือฟุตบอลเป็นกิจกรรมที่เหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัย นอกจากช่วยพัฒนากล้ามเนื้อและประสาทสัมผัส ยังช่วยสร้างความสามัคคีในครอบครัว ลองเล่นแบบทีม พ่อแม่กับลูกแข่งกันเพิ่มความสนุก
5. ปิกนิกกลางแจ้งพร้อมเล่นเกมโยนห่วง
จัดปิกนิกเล็กๆ ที่สวนใกล้บ้าน นำอาหารง่ายๆ ไปทานร่วมกัน แล้วเล่นเกมโยนห่วง หรือเล่นเปตองเพื่อฝึกทักษะความแม่นยำ สนุกได้ทุกวัยและไม่ต้องใช้พื้นที่มาก
3. การทานอาหารขยะ (Junk food) และเครื่องดื่มที่มีฟอสเฟตสูง
อาหารขยะและเครื่องดื่มอัดลมมักมี ฟอสเฟต (Phosphate) ในปริมาณสูง ซึ่งเป็นสารที่มีผลกระทบต่อ สมดุลแคลเซียมในร่างกาย โดยฟอสเฟตจะจับกับแคลเซียมและขัดขวางการดูดซึมของแคลเซียมในลำไส้ ส่งผลให้ร่างกายได้รับแคลเซียมลดลง แม้จะรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูงก็ตาม
การบริโภคอาหารที่มีฟอสเฟตมากเกินไปเป็นระยะเวลานาน อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อ โรคกระดูกพรุน (Osteoporosis) ในอนาคต รวมถึงปัญหาสุขภาพอื่น ๆ เช่น กระดูกเปราะ ฟันผุ และการเจริญเติบโตของกระดูกที่ผิดปกติในเด็ก
อาหารและเครื่องดื่มที่เด็กควรหลีกเลี่ยง
- น้ำอัดลม
- มี ฟอสฟอริกแอซิด (Phosphoric Acid) ซึ่งขัดขวางการดูดซึมแคลเซียม
- มีปริมาณ น้ำตาลสูง ส่งผลให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดสูง และอาจกระตุ้นการดึงแคลเซียมออกจากกระดูก
- เพิ่มความเสี่ยงของ ภาวะกระดูกพรุนและฟันผุ
- ขนมกรุบกรอบ และขนมขบเคี้ยว
- มักมี สารฟอสเฟตเป็นวัตถุเจือปนอาหาร (เช่น sodium phosphate) ซึ่งส่งผลต่อสมดุลแคลเซียม
- มีปริมาณ โซเดียมสูง ซึ่งอาจกระตุ้นให้ร่างกายขับแคลเซียมออกทางปัสสาวะ
- อุดมไปด้วยไขมันทรานส์และสารปรุงแต่งที่ไม่ดีต่อสุขภาพ
- อาหารแปรรูป เช่น ไส้กรอก แฮม นักเก็ต
- มีการเติม ฟอสเฟตเป็นสารกันเสียและสารปรุงแต่ง เพื่อยืดอายุอาหาร
- มี โซเดียมสูง ทำให้ร่างกายสูญเสียแคลเซียมผ่านทางปัสสาวะ
- มี ไขมันอิ่มตัวสูง อาจส่งผลให้เกิดภาวะอักเสบในร่างกายและส่งผลต่อสุขภาพกระดูก
- อาหารสำเร็จรูป (Instant Food) เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ซุปกึ่งสำเร็จรูป
- มี สารเติมแต่งที่มีฟอสเฟตสูง เพื่อช่วยเพิ่มรสชาติและยืดอายุอาหาร
- มี โซเดียมสูงมาก ทำให้ร่างกายต้องขับแคลเซียมออกมากขึ้น
- มักมี สารปรุงแต่งและผงชูรส ที่อาจส่งผลต่อระบบเผาผลาญ
10 อาหารขยะที่เด็กชอบ แต่ควรเลี่ยง
อาหารขยะ (Junk Food) มีไขมัน น้ำตาล และโซเดียมสูง ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพเด็ก นี่คือ 10 อันดับที่ควรหลีกเลี่ยง
- มันฝรั่งทอด – ไขมันทรานส์สูง เสี่ยงโรคอ้วน
- ไก่ทอดและนักเก็ต – อมน้ำมัน เพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจ
- ขนมขบเคี้ยวรสจัด – เต็มไปด้วยสารปรุงแต่ง
- น้ำอัดลม – น้ำตาลสูง ทำให้ติดหวาน
- ไอศกรีม – พลังงานสูง เสี่ยงน้ำหนักเกิน
- ลูกอมและหมากฝรั่ง – น้ำตาลและสีสังเคราะห์มาก
- พิซซ่าและเบอร์เกอร์ – โซเดียมและไขมันอิ่มตัวสูง
- บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป – โซเดียมสูง กระทบไต
- ไส้กรอกและฮอทด็อก – มีสารกันเสียและโซเดียมสูง
- โดนัทและขนมอบ – น้ำตาลและไขมันทรานส์มาก
4. การเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงปิดเทอม
ช่วงปิดเทอมเป็นเวลาที่เด็ก ๆ มีโอกาสพักผ่อนและทำกิจกรรมที่แตกต่างจากช่วงเปิดเทอม เช่น วิ่งเล่น ออกกำลังกาย หรือทำกิจกรรมกลางแจ้ง ซึ่งอาจส่งผลต่อการเติบโตของร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กวัยที่กำลังโต (ช่วงอายุ 3-15 ปี) ร่างกายจะต้องการแคลเซียมมากขึ้นเพื่อเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง หากได้รับแคลเซียมไม่เพียงพอ อาจทำให้การเจริญเติบโตของกระดูกช้าลง เพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะกระดูกบาง กระดูกพรุนในอนาคต และอาจทำให้ร่างกายอ่อนแอได้
คำแนะนำสำหรับพ่อแม่:
✅ ตรวจสอบเมนูอาหารให้มีแหล่งแคลเซียมเพียงพอ
- แหล่งแคลเซียมจากนม: นมวัว นมแพะ นมถั่วเหลืองที่เสริมแคลเซียม
- แหล่งแคลเซียมจากพืช: เต้าหู้ งาดำ อัลมอนด์ ผักใบเขียว (เช่น ผักคะน้า บรอกโคลี)
- แหล่งแคลเซียมจากสัตว์: ปลาตัวเล็กที่กินได้ทั้งกระดูก เช่น ปลาแอนโชวี่ ปลากรอบ ไข่ไก่
- แหล่งแคลเซียมจากแคลเซียมเสริมสำหรับเด็ก: เลือกแคลเซียมเสริม ที่สามารถดูดซึมได้ดี มีงานวิจัยรองรับ
✅ ให้ลูกออกกำลังกายเพื่อกระตุ้นการสร้างกระดูก
- กิจกรรมที่ช่วยเสริมสร้างมวลกระดูก เช่น กระโดดเชือก วิ่ง ปั่นจักรยาน หรือกีฬากลางแจ้ง
- ออกกำลังกายที่มีแรงกระแทกพอสมควร เช่น บาสเกตบอล ฟุตบอล หรือแบดมินตัน จะช่วยกระตุ้นการสะสมแคลเซียมในกระดูก
✅ เสริมวิตามินดีเพื่อช่วยดูดซึมแคลเซียม
- ให้เด็กออกไปสัมผัสแสงแดดยามเช้า (ช่วง 6.00-9.00 น.) เพื่อให้ร่างกายสังเคราะห์วิตามินดีได้ดีขึ้น
- อาหารที่มีวิตามินดีสูง เช่น ไข่แดง ตับ ปลาแซลมอน ปลาทูน่า
✅ พิจารณาเสริมแคลเซียมหากจำเป็น
- หากเด็กได้รับแคลเซียมจากอาหารไม่เพียงพอ หรือมีภาวะขาดแคลเซียม การเลือกผลิตภัณฑ์เสริมแคลเซียมที่เหมาะสม เช่น แคลเซียมที่ดูดซึมง่าย (แคลเซียมแอลทรีโอเนต) อาจช่วยเสริมสร้างกระดูกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
5. ขาดการวางแผนโภชนาการที่เหมาะสม
ในช่วงปิดเทอม พ่อแม่อาจละเลยการวางแผนโภชนาการ เนื่องจากความยุ่งเหยิงหรือกิจกรรมพิเศษ ทำให้เด็กได้รับแคลเซียมไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ซึ่งอาจส่งผลต่อการเจริญเติบโตและสุขภาพกระดูกในระยะยาว
การแก้ไขง่ายๆ เพื่อให้ลูกได้รับแคลเซียมเพียงพอ
✅ วางแผนเมนูอาหารล่วงหน้า
เลือกเมนูที่มีแคลเซียมสูงและถูกปากเด็ก เช่น
- แกงส้มผักรวมใส่กุ้งแห้ง กุ้งแห้งและผักบางชนิด เช่น ผักบุ้ง ผักกาดขาว มีแคลเซียมสูง
- ข้าวผัดกะปิปลาทู ปลาทูเป็นแหล่งแคลเซียมที่ดี โดยเฉพาะเมื่อนำมากินทั้งกระดูก
- เต้าหู้ผัดและซุปเต้าหู้ เต้าหู้และผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองเป็นแหล่งแคลเซียมจากพืชที่ดูดซึมได้ดี
✅ เพิ่มอาหารว่างที่มีแคลเซียมสูง
- นม โยเกิร์ต ชีส
- อัลมอนด์ เมล็ดงา
- ปลาตัวเล็กกินทั้งกระดูก เช่น ปลาข้าวสาร ปลาซิว
จะรู้ได้อย่างไรว่า ลูกขาดแคลเซียม?
สัญญาณเตือนที่พ่อแม่ไม่ควรมองข้าม:
แคลเซียมเป็นแร่ธาตุสำคัญที่มีบทบาทในหลายระบบของร่างกาย โดยเฉพาะกระดูก กล้ามเนื้อ และระบบประสาท หากเด็กได้รับแคลเซียมไม่เพียงพอ อาจส่งผลต่อสุขภาพและพัฒนาการในระยะยาว พ่อแม่ควรสังเกตอาการเหล่านี้
1. เด็กรู้สึกเหนื่อยง่ายเมื่อออกกำลังกาย
แคลเซียมมีบทบาทสำคัญในการส่งสัญญาณประสาทไปยังกล้ามเนื้อและช่วยให้กล้ามเนื้อหดตัวอย่างมีประสิทธิภาพ หากขาดแคลเซียม กล้ามเนื้ออาจทำงานได้ไม่เต็มที่ ทำให้เด็กเหนื่อยง่าย ไม่ค่อยมีแรง หรือมีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อบ่อย
2. มีอาการตะคริวบ่อย โดยเฉพาะตอนกลางคืน
แคลเซียมช่วยควบคุมการหดตัวและคลายตัวของกล้ามเนื้อ หากระดับแคลเซียมในร่างกายต่ำ อาจทำให้กล้ามเนื้อเกิดการหดเกร็งผิดปกติ ส่งผลให้เกิดอาการตะคริว โดยเฉพาะตอนกลางคืน นอกจากนี้ ภาวะแมกนีเซียมต่ำมักเกิดร่วมกับการขาดแคลเซียม และอาจทำให้อาการตะคริวรุนแรงขึ้น
3. ฟันผุง่าย หรือฟันขึ้นช้า
แคลเซียมเป็นส่วนประกอบหลักของเคลือบฟันและโครงสร้างฟัน หากได้รับไม่เพียงพอ ฟันของเด็กอาจมีความแข็งแรงลดลง เพิ่มความเสี่ยงต่อฟันผุได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ ในทารกที่ขาดแคลเซียม อาจพบว่าฟันขึ้นช้ากว่าปกติประมาณ 2-3 เดือน
4. มีปัญหาการเจริญเติบโต ความสูงเพิ่มขึ้นช้า
แคลเซียมเป็นองค์ประกอบสำคัญของกระดูก หากได้รับแคลเซียมไม่เพียงพอ อาจทำให้มวลกระดูกลดลง ส่งผลให้การเจริญเติบโตช้ากว่ามาตรฐาน เด็กที่ขาดแคลเซียมเรื้อรังอาจมีความสูงต่ำกว่าเกณฑ์เมื่อเทียบกับเด็กวัยเดียวกัน
5. เล็บเปราะ แตกง่าย หรือผมร่วง
แคลเซียมมีส่วนช่วยให้เล็บและเส้นผมแข็งแรง หากขาดแคลเซียมอาจสังเกตเห็นว่าเล็บเปราะ หักง่าย หรือเกิดจุดขาวบนเล็บ รวมถึงอาการผมร่วงผิดปกติ
6. กระดูกเปราะ เสี่ยงกระดูกหักง่าย
ในกรณีที่ขาดแคลเซียมรุนแรง อาจส่งผลให้กระดูกมีความหนาแน่นลดลง ทำให้กระดูกเปราะและเสี่ยงต่อการแตกหักแม้ได้รับแรงกระแทกเพียงเล็กน้อย
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับแคลเซียมสำหรับเด็ก (FAQ)
Q: เด็กควรได้รับแคลเซียมวันละเท่าไหร่?
A: ตามคำแนะนำของ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เด็กวัย 4-8 ปี ควรได้รับแคลเซียมประมาณ 800-1,000 มก. ต่อวัน ส่วนเด็กอายุ 9-18 ปี ควรได้รับ 1,300 มก. ต่อวัน เพื่อรองรับการเจริญเติบโตของกระดูก
(อ้างอิง: กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข)
Q: แคลเซียม L-Threonate ดีกว่าแคลเซียมแบบอื่นอย่างไร?
A: แคลเซียม L-Threonate มีการดูดซึมสูงถึง 95% และไม่ทำให้เกิดการสะสมในไต ซึ่งแตกต่างจากแคลเซียมคาร์บอเนตหรือซิเตรตที่ดูดซึมได้ไม่เต็มที่ นอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นโกรทฮอร์โมนที่สำคัญต่อการเจริญเติบโต
(ข้อมูลอ้างอิง: สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล)
Q: เด็กไม่ชอบดื่มนม ควรเสริมแคลเซียมอย่างไร?
A: สามารถให้เด็กทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น เต้าหู้ นมถั่วเหลือง หรือปลาตัวเล็กๆ ที่ทานได้ทั้งกระดูก หากยังไม่เพียงพอ ควรเสริมด้วย แคลเซียม เสริม สำหรับ เด็ก ที่ดูดซึมได้ดีและปลอดภัย
Cal-D-KII 6+ แคลเซียม เสริม สำหรับ เด็ก ที่ช่วยให้ลูกเติบโตได้อย่างมั่นใจ
แคลเซียมเป็นสารอาหารสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างกระดูกและความสูงของเด็ก แต่การได้รับแคลเซียมเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ Cal-D-KII 6+ ใช้ แคลเซียมแอลทรีโอเนต ที่ดูดซึมได้สูงถึง 95% ไม่ตกค้างในร่างกาย พร้อมเสริมวิตามิน D3 และ K2 ที่ช่วยนำแคลเซียมเข้าสู่กระดูกโดยตรง ช่วยให้กระดูกแข็งแรงและเจริญเติบโตได้อย่างเต็มที่
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจาก Promom
ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเด็ก คิดค้นวิตามินเสริมภูมิคุ้มกันเด็กและพัฒนาจากองค์ความรู้ ของทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางและนักโภชนาการเด็ก
บทความอื่นๆที่น่าสนใจ
ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเด็ก คิดค้นวิตามินเสริมภูมิคุ้มกันเด็กและพัฒนาจากองค์ความรู้ ของทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางและนักโภชนาการเด็ก