ขาดแคลเซียมสำหรับเด็ก! 5 สัญญาณที่บอกว่า ลูกเหนื่อยง่ายในหน้าร้อน…ไม่ใช่แค่เพราะร้อน
เรื่องราวดีๆจาก Promom สำหรับคุณแม่และลูกน้อย
หน้าร้อนทีไร ลูกบ่นเหนื่อยง่ายกว่าปกติใช่ไหม? หลายคนอาจคิดว่าเป็นเพราะอากาศร้อนเท่านั้น แต่รู้หรือไม่ว่า แคลเซียมสำหรับเด็ก ก็มีบทบาทสำคัญในเรื่องนี้เหมือนกัน! มาลองเช็กกันว่าลูกของคุณมีสัญญาณขาดแคลเซียมหรือไม่ เพราะไม่ใช่แค่ส่งผลต่อความเหนื่อยล้า แต่ยังกระทบกับการเจริญเติบโต และสุขภาพโดยรวมของลูกด้วย
ทำไมหน้าร้อนถึงทำให้ลูกเหนื่อยง่ายกว่าปกติ?
ในช่วงหน้าร้อน ร่างกายของเด็กสูญเสียเหงื่อมากกว่าปกติ ทำให้ไม่เพียงแค่เสี่ยงต่อการขาดน้ำ แต่ยังส่งผลให้แร่ธาตุสำคัญอย่าง แคลเซียม ถูกขับออกจากร่างกายมากขึ้น แคลเซียมมีบทบาทสำคัญต่อการทำงานของกล้ามเนื้อและระบบประสาท หากระดับแคลเซียมในร่างกายลดลง อาจทำให้เด็กเกิดอาการ เหนื่อยง่าย อ่อนแรง เป็นตะคริว หรือกล้ามเนื้อกระตุก บ่อยขึ้น นอกจากนี้ แคลเซียมยังจำเป็นต่อการสร้างกระดูกและฟัน หากเด็กได้รับแคลเซียมไม่เพียงพอในระยะยาว อาจส่งผลต่อพัฒนาการด้านความสูงและสุขภาพกระดูก การดูแลให้เด็กได้รับแคลเซียมอย่างเหมาะสมในช่วงหน้าร้อนจึงเป็นสิ่งสำคัญ ควรเสริมด้วยอาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น นม ผลิตภัณฑ์จากนม ผักใบเขียว และปลาตัวเล็ก พร้อมกับดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อลดความเสี่ยงจากภาวะขาดน้ำและการสูญเสียแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย
5 สัญญาณที่บอกว่าลูกเหนื่อยง่าย…อาจเพราะขาดขาดแคลเซียมสำหรับเด็ก!
1. เหนื่อยง่ายกว่าปกติ แม้ทำกิจกรรมเบาๆ
ลูกที่ขาด แคลเซียมสำหรับเด็ก อาจเหนื่อยง่ายแม้เพียงแค่เดินเล่นหรือทำกิจกรรมเล็กน้อย เพราะกล้ามเนื้อทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ เด็กที่ขาดแคลเซียม อาจเหนื่อยง่ายแม้เพียงแค่เดินเล่นหรือทำกิจกรรมเล็กน้อย เพราะกล้ามเนื้อทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ
2. ปวดกล้ามเนื้อหรือเป็นตะคริวบ่อย
แคลเซียมมีบทบาทในการทำงานของกล้ามเนื้อ ถ้าระดับแคลเซียมในเลือดต่ำ เด็กจะมีอาการปวดกล้ามเนื้อหรือเป็นตะคริวได้ง่าย เพราะแคลเซียมทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการส่งสัญญาณประสาทไปยังเซลล์กล้ามเนื้อ
3. อ่อนเพลีย ไม่มีแรง แม้พักผ่อนเพียงพอ
ถ้าลูกของคุณนอนหลับเต็มที่แต่ยังคงรู้สึกอ่อนเพลียหรือไม่มีแรง อาจเป็นเพราะการขาดแคลเซียมส่งผลต่อ การทำงานของกล้ามเนื้อและระบบประสาท แคลเซียมมีบทบาทสำคัญในการควบคุมการหดตัวของกล้ามเนื้อ และเมื่อระดับแคลเซียมไม่เพียงพอ กล้ามเนื้อจะทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ทำให้รู้สึกเหนื่อยล้าและอ่อนแรงได้ง่าย
4. หัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือเต้นเร็วผิดปกติ
แคลเซียมช่วยควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจ การขาดแคลเซียมอาจทำให้เกิดอาการหัวใจเต้นผิดปกติได้ แคลเซียมมีบทบาทสำคัญในการควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจผ่านการส่งสัญญาณไฟฟ้าในเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ การขาดแคลเซียมรุนแรง (Hypocalcemia) อาจทำให้เด็กมีหัวใจเต้นผิดจังหวะ เช่น เต้นเร็ว/ช้าเกินไป หรือเกิดภาวะ Bradycardia (หัวใจเต้นช้ากว่า 60 ครั้ง/นาที)
5. กระดูกและฟันไม่แข็งแรง เจ็บหรือปวดบ่อย
เด็กที่ขาดแคลเซียมจะมีปัญหากระดูกเปราะหรือฟันผุง่าย ซึ่งส่งผลต่อการเจริญเติบโตในระยะยาว เด็กที่ขาดแคลเซียมเสี่ยงกระดูกเปราะจนเป็นโรคกระดูกอ่อน (Rickets) พบในเด็กไทยถึง 70% ที่ได้รับแคลเซียมไม่เพียงพอ นอกจากนี้ยังทำให้ฟันขึ้นช้า เคลือบฟันบาง และเสี่ยงฟันผุง่าย
เช็กลิสต์! ลูกของคุณกำลังขาดแคลเซียมหรือไม่?
ใช้ เช็กลิสต์ นี้เพื่อดูว่าลูกของคุณมีอาการขาดแคลเซียมหรือไม่:
- ลูกเหนื่อยง่าย แม้ทำกิจกรรมเพียงเล็กน้อย
- ลูกบ่นปวดกล้ามเนื้อหรือเป็นตะคริวบ่อย
- ลูกดูอ่อนเพลีย ไม่มีพลัง แม้พักผ่อนเพียงพอ
- ลูกมีอาการหัวใจเต้นเร็ว หรือจังหวะผิดปกติ
- ฟันของลูกผุง่าย หรือกระดูกไม่แข็งแรง
ถ้ามีอาการ 2 ข้อขึ้นไป อาจเป็นสัญญาณว่าลูกกำลังขาดแคลเซียม!
ทำไมการเสริมแคลเซียมจากนมวัว อาจไม่เหมาะกับเด็ก?
แม้ว่านมวัวจะเป็นแหล่งแคลเซียมที่ดี แต่สำหรับเด็กบางคน การดื่มนมวัวอาจไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุดในการเสริมแคลเซียมสำหรับเด็ก เนื่องจากปัจจัยต่อไปนี้
1. อาจต้องดื่มในปริมาณมาก ถึงจะได้รับแคลเซียมเพียงพอ
แคลเซียมในนมวัวมีประมาณ 112 มก. ต่อ 100 มล. หรือ 226 มก. ต่อกล่อง (200 มล.) ซึ่งหมายความว่าเด็กที่ต้องการแคลเซียม 1,000 มก. ต่อวัน อาจต้องดื่มนมมากถึง 4-5 กล่องต่อวัน เพื่อให้เพียงพอ ซึ่งอาจไม่สะดวก และอาจทำให้ได้รับไขมันอิ่มตัวหรือน้ำตาลเกินความจำเป็น
2. เสี่ยงต่ออาการแพ้โปรตีนนมวัว (Cow’s Milk Protein Allergy)
เด็กบางคนแพ้โปรตีนในนมวัว ทำให้เกิดอาการท้องเสีย อาเจียน ผื่นขึ้น หรือมีปัญหาทางเดินหายใจ หากมีอาการเหล่านี้ ควรหลีกเลี่ยงการดื่มนมวัว
3. ปัญหาการย่อยแลคโตส (Lactose Intolerance)
เด็กบางคนมีภาวะ ย่อยน้ำตาลแลคโตสบกพร่อง ทำให้เกิดอาการแน่นท้อง ท้องเสีย หรือปวดท้องหลังดื่มนมวัว ซึ่งเป็นปัญหาพบบ่อยในเด็กเอเชีย
4. มีไขมันอิ่มตัวและน้ำตาลสูง
นมวัวบางชนิด โดยเฉพาะนมรสหวาน อาจมีปริมาณน้ำตาลสูง หากดื่มเป็นประจำอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคอ้วนและเบาหวานในเด็ก นอกจากนี้ นมวัวมีไขมันอิ่มตัวในปริมาณมาก ซึ่งอาจส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว
แหล่งแคลเซียมที่นอกเหนือจากนมวัว
หากเด็กไม่สามารถดื่มนมวัว หรือพ่อแม่ต้องการให้ลูกได้รับแคลเซียมจากแหล่งอื่น อาหารเหล่านี้เป็นตัวเลือกที่ดี
- นมถั่วเหลืองเสริมแคลเซียม – ปราศจากแลคโตสและมีแคลเซียมเสริม
- ปลาตัวเล็กที่กินได้ทั้งกระดูก – เช่น ปลาซาร์ดีน ปลาตัวเล็กแห้ง
- ผักใบเขียวเข้ม – เช่น คะน้า บรอกโคลี ผักโขม
- เต้าหู้และงาดำ – เต้าหู้มีแคลเซียมสูงและย่อยง่าย
- อาหารเสริมแคลเซียม – หากเด็กได้รับแคลเซียมไม่เพียงพอจากอาหาร อาจพิจารณาผลิตภัณฑ์เสริมแคลเซียมที่เหมาะกับวัย ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มี แคลเซียม L-Threonate เนื่องจากดูดซึมได้ดี
แม้ว่านมวัวจะเป็นแหล่งแคลเซียมที่ดี แต่เด็กอาจต้องดื่มในปริมาณมากเพื่อให้ได้รับแคลเซียมเพียงพอ ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาว นอกจากนี้ เด็กบางคนอาจมีอาการแพ้หรือย่อยแลคโตสไม่ได้ ดังนั้น การเลือกแหล่งแคลเซียมจากอาหารอื่นๆ หรือเสริมแคลเซียมจากแหล่งที่เหมาะสม จะช่วยให้เด็กได้รับแคลเซียมอย่างเพียงพอโดยไม่มีผลข้างเคียง
ตารางเปรียบเทียบแคลเซียมชนิดต่าง ๆ
ชนิดของแคลเซียม | อัตราการดูดซึม | คุณสมบัติพิเศษ | เหมาะสำหรับ |
แคลเซียม L-Threonate | ประมาณ 90-95% | – ดูดซึมได้ดีมาก – สามารถรับประทานขณะท้องว่างได้- ลดความเสี่ยงในการสะสมในร่างกาย เช่น การเกิดนิ่ว- ไม่ค่อยทำให้เกิดอาการท้องอืดหรือท้องผูก | ผู้ที่ต้องการการดูดซึมแคลเซียมสูง และลดความเสี่ยงในการสะสมในร่างกาย เช่น การเกิดนิ่ว หรือท้องผูก |
แคลเซียมซิเตรต | ประมาณ 50% | – ดูดซึมได้ดีในผู้ที่มีกรดในกระเพาะน้อย- สามารถรับประทานขณะท้องว่างได้ | ผู้ที่มีกรดในกระเพาะน้อย หรือผู้ที่ต้องการรับประทานแคลเซียมขณะท้องว่าง |
แคลเซียมคาร์บอเนต | ประมาณ 30-40% | – ควรรับประทานพร้อมอาหารเพื่อเพิ่มการดูดซึม- อาจทำให้เกิดอาการท้องอืดหรือท้องผูกในบางคน | ผู้ที่ต้องการแคลเซียมธาตุสูง และสามารถรับประทานพร้อมอาหารเพื่อเพิ่มการดูดซึม |
แคลเซียมกลูโคเนต | ประมาณ 27% | – มักใช้ในรูปแบบฉีดเพื่อรักษาภาวะขาดแคลเซียมเฉียบพลัน | ผู้ที่ต้องการแคลเซียมในรูปแบบฉีดเพื่อรักษาภาวะขาดแคลเซียมเฉียบพลัน |
เด็กที่ขาดแคลเซียม นอกจากไม่สูงแล้ว จะเกิดอะไรขึ้นอีก?
แคลเซียมไม่ได้สำคัญแค่เรื่องความสูง แต่ยังมีบทบาทในระบบกระดูก กล้ามเนื้อ และประสาทของร่างกาย หากเด็กได้รับแคลเซียมไม่เพียงพอ อาจเกิดปัญหาสุขภาพต่างๆ ตามมา เช่น
1. โรคกระดูกอ่อน (Rickets) กระดูกอ่อนแอและผิดรูป ส่งผลให้เด็กขาโก่งหรือมีกระดูกผิดปกติ
2. กล้ามเนื้อเป็นตะคริวหรือกระตุก ขาดแคลเซียมอาจทำให้กล้ามเนื้อเกร็ง กระตุก หรือเป็นตะคริวบ่อย โดยเฉพาะบริเวณแขน ขา และใบหน้า
3. อาการชาและเสียวซ่า เด็กที่ขาดแคลเซียมอาจมีอาการชาหรือรู้สึกเสียวซ่าที่ใบหน้า มือ หรือเท้า
4. ปัญหาการนอนหลับ อาจส่งผลให้เด็กนอนหลับยาก หลับไม่ลึก หรือสะดุ้งตื่นกลางดึก
5. ฟันและเล็บอ่อนแอ ฟันอาจเปราะ แตกง่าย หรือมีปัญหาฟันผุบ่อย ขณะที่เล็บอ่อนและหักง่าย
6. ปัญหาการเจริญเติบโต อาจส่งผลให้เด็กเติบโตช้ากว่าปกติ และในเด็กผู้หญิงอาจทำให้ประจำเดือนมาไม่ปกติ
7. ส่งผลต่อระบบประสาทและสมอง แคลเซียมมีบทบาทสำคัญในการทำงานของระบบประสาท หากขาดแคลเซียม อาจส่งผลต่อความสามารถในการจดจ่อและเรียนรู้
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับแคลเซียมกับเด็ก
Q: เด็กควรได้รับแคลเซียมวันละเท่าไหร่?
A: เด็กอายุ 6 ปีขึ้นไปควรได้รับแคลเซียมประมาณ 800-1,000 mg ต่อวัน ซึ่งสามารถได้รับจากอาหารเช่น นม ผักใบเขียว หรืออาหารเสริมที่มีประสิทธิภาพ
Q: ขาดแคลเซียมในเด็กอันตรายแค่ไหน?
A: การขาดแคลเซียมส่งผลต่อการเจริญเติบโตของกระดูกและฟัน ทำให้เกิดปัญหาเช่น กระดูกพรุนในอนาคต และอาจมีผลต่อการทำงานของหัวใจและระบบประสาท
Q: ควรเสริมแคลเซียมในรูปแบบไหนดีที่สุด?
A: ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มี แคลเซียม L-Threonate เนื่องจากดูดซึมได้ดีกว่าแคลเซียมทั่วไป ช่วยให้ร่างกายนำไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แนะนำผลิตภัณฑ์เสริมแคลเซียมที่ดีที่สุดสำหรับเด็ก
ถ้าคุณสังเกตว่าลูกมีสัญญาณเหล่านี้ การเสริมแคลเซียมอาจเป็นคำตอบที่คุณกำลังมองหา ขอแนะนำ Cal-D-KII 6+ ที่มี แคลเซียม L-Threonate ซึ่งสามารถดูดซึมได้สูงถึง 95% ให้แคลเซียมมากถึง 960 mg ซึ่งเพียงพอต่อความต้องการของเด็กไทยใน 1 วัน
- ช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโต และ เพิ่มความสูง
- กระตุ้นการสร้างโกรทฮอร์โมน เพื่อการพัฒนาที่สมบูรณ์
- ผ่านการ วิจัยรับรอง และได้รับ รางวัลระดับโลก ยืนยันคุณภาพ
อย่าปล่อยให้ลูกเหนื่อยง่ายโดยไม่รู้สาเหตุ! ลองเสริมแคลเซียมให้ลูกวันนี้ เพื่อสุขภาพที่แข็งแรงและการเจริญเติบโตที่สมบูรณ์ของลูกคุณ
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจาก Promom
ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเด็ก คิดค้นวิตามินเสริมภูมิคุ้มกันเด็กและพัฒนาจากองค์ความรู้ ของทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางและนักโภชนาการเด็ก
บทความอื่นๆที่น่าสนใจ
ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเด็ก คิดค้นวิตามินเสริมภูมิคุ้มกันเด็กและพัฒนาจากองค์ความรู้ ของทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางและนักโภชนาการเด็ก